บทความจาก http://topicstock.pantip.com/mbk/topicstock/2011/02/T10236503/T10236503.html
อยากจะมาให้ความรู้ในวันนี้เพราะเนื่องจากเห็นเพื่อนๆ พี่ๆ และน้องๆ ทุกคนนั้นมีความเข้าใจและมีการเรียก case มือถือแต่ละประเภทในแบบผิดๆครับ ไม่ว่าจะด้วยความไม่เข้าใจว่า case ตัวนั้นทำจากวัสดุอะไร หรือแตกต่างกันอย่างไร วันนี้ ผมนาย nccommu ขอเป็นตัวแทนในการให้ความรู้ในวันนี้แล้วกันนะครับ
Case มือถือนั้นมีมากมายหลายประเภท และมือถือที่เรียกได้ว่ามีอุปกรณ์เสริมมากที่สุดคงหนีไม่พ้น iPhone ครับ ดังนั้นในวันนี้เพื่อให้เนื้อหาครบถ้วน และครอบคลุมที่สุด จึงขอนำ case สำหรับ iPhone มาเป็นตัวอย่างครับ
สำหรับปัจจัยในการซื้อ case มือถือนั้น แบ่งผู้ซื้อออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ครับ คือ
1. บุคคลที่ต้องการ case เพื่อการปกป้องตัวเครื่องอย่างดีที่สุด
2. บุคคลที่ต้องการ case เพื่อเป็นเหมือนอุปกรณ์ตกแต่ง และเพิ่มระดับความหรูหรา
สำหรับราคาของ case นั้นแบ่งออกเป็นได้หลายระดับเช่นการขึ้นอยู่กับระดับรายได้ของบุคคลแต่ละท่าน แบ่งช่วงราคาออกได้เป็น 3 ช่วงใหญ่ๆ คือ
1. 150 - 450 บาท เป็น case ที่ส่วนใหญ่จะเป็น case ที่ไม่มี brand หรือเป็น imitate product หรือสินค้าลอกเลียนแบบนั่นเอง ซึ่งสินค้าราคาระดับนี้ อย่าไปคาดหวังกับคุณภาพและวัสดุครับ เพราะเน้นราคาและจำนวน
#ข้อควรระวัง#
*ดังนั้นเมื่อทราบดังนี้แล้ว เมื่อทุกท่านเห็น case; brand ดังๆ เช่น Speck, Powersupport, Switcheasy ขายในราคาดังกล่าว ให้จำใส่ใจไว้ครับว่า เป็นของลอกเลียนแบบค่อนข้างแน่นอน
**อาจจะยกเว้นบางรุ่น เช่น Switcheasy Colors ที่ราคาอยู่ที่ 490 บาท แต่หากต่ำกว่านี้ให้จำไว้ครับของลอกเลียนแบบแน่นอน
***ไม่ต้องฟังว่าคนขายบอกว่าสินค้าหลุด QC หรือหรือเป็นสินค้า OEM เพราะว่านั่นเป็นเพียงที่ใช้หลอกลูกค้าที่ไม่รู้เรื่อง ให้หลงคิดว่าตัวเองได้ของแท้ และหลังจากที่ผมตั้งกระทู้นี้อาจมีผู้ค้าบางรายแอบตั้งราคาสินค้าลอกเลียนแบบใกล้เคียงของจริง ดังนั้นจะซื้อ case มือถือแนะนำให้ซื้อร้านที่ไว้ใจได้ดีกว่าครับ ถ้าราคาไม่ใช่ปัจจัย
2. 500 - 1500 บาท ถือว่าเป็นคาปกติ และราคากลางๆ ของ case มี brand หลายๆรุ่น ซึ่งช่วงราคาประมาณนี้มักเป็นที่นิยม เพราะราคาไม่สูงมากเมื่อเทียบกับคุณภาพที่ได้รับและเป็นช่วงที่ case ยังเน้นใช้เพื่อปกป้องตัวเครื่องอยู่ ราคาระดับนี้มี brand ให้เลือกค่อนข้างหลากหลายครับ
เช่น Powersupport, Speck, Switcheasy, Otter Box เป็นต้น
3. 2000++ ถือว่าเป็น case ระดับ premium ครับ case ระดับนี้มักเน้นความสวยงาม หรูหรา มากกว่าเน้นการปกป้องตัวเครื่อง ดังนั้นหากท่านเป็นบุคคลที่ต้องการเป็นที่สนใจ ทุกครั้งเวลาใช้งานโทรศัพท์มือถือของท่าน case ระดับนี้จะทำให้ท่านสมใจปารถนาแน่นอน ราคาระดับนี้ brand มีตัวเลือกมากพอสมควรครับ
เช่น Vaja, Sena, Noreve, Elementcase, Xcelcase, E13tron เป็นต้น
#ข้อควรระวัง#
* case ระดับนี้ก็มีของลอกเลียนแบบออกมาในราคาที่ต่ำกว่าตัวจริงมากครับ เช่น case ราคา 3000 อาจจะลดเหลือเพียง 2000 ดังนั้นให้สั่งตรงจากทางเว็บ เป็นการดีที่สุดครับ เพราะ case ระดับนี้มักจะทำออกมาจำนวนไม่มาก หรือไม่สะดวกต้องมั่นใจในแหล่งที่ซื้อครับ แนะนำให้หลีกเลี่ยง MBK
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ประเภทของ case
โดยปกติแล้ว case จะแบ่งออกเป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ คือ
ซึ่ง caseทั้ง 3 ปรเภทนี้ยังแบ่งออกเป็นย่อยๆได้อีกหลายประเภทครับ โดยเราจะเริ่มอธิบายไปทีละประเภทๆ ก่อน
สำหรับ Soft Case นั้นแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทย่อย ได้แก่
สำหรับ case ที่เราจะเห็นได้มากที่สุดและมีราคา ถูกที่สุดนั้นคงหนีไม่พ้น Silicone Case เนื่องจากเป็น case ที่ราคาถูกและทำง่ายทำให้ปริมาณการผลิตนั้นมีสูงเนื่องจากสามารถผลิตออกมาได้มาก และกำไรต่อหน่วยเยอะ
ข้อดีของ case ประเภทนี้คือ มีความยืดหยุ่นสูง และรับการกระแทกจากการตกได้ดี ทำให้เวลาทำเครื่องตกนั้นเครื่องจะไม่ได้รับความเสียหายมากทำความสะอาดได้ง่าย เพราะเอาไปล้างน้ำได้เลยติดตั้งง่ายเพราะเนื่องจากมีความยืดหยุ่นสูง ทำให้เวลาติดตั้งไม่มีปัญหาเป็น case ที่ให้ความรู้สึกเวลาถือดีที่สุดเพราะมีความหนืด ทำให้ถือแล้วติดมือ
ข้อเสียของ case ประเภทนี้คือเป็นเสมือนแม่เหล็กดูดฝุ่นเลยทีเดียว เพราะวัสดุค่อนข้างมีความหนืด ทำให้ฝุ่นเกาะเหนียวแน่นมากเวลาใช้ในระยะยาวขยายตัวออกทำให้เสียรูปเดิมเมื่อโดนความร้อน ทำให้ไม่พอดีกับเครื่อง เวลาใช้งานไปซักระยะSilicone เสื่อมสภาพหลังจากใช้ไปประมาณ 6 เดือน โดยเฉพาะ case ราคาถูกมักจะเสื่อมก่อนเสมอมักมีปัญหาสีตกใส่เครื่องเสมอๆ โดยเฉพาะสินค้า no name เคสประเภทนี้ เช่น switcheasy colors เป็นต้น
สำหรับประเภทต่อไปได้แก่ TPU Case หรือย่อมาจาก Thermoplastic Polyurethanes
case ชนิดนี้มีความแตกต่างจากประเภทแรกอย่างเห็นได้ชัดคือ มีความยืดหยุ่นน้อยกว่า และมีการคงรูปที่มากกว่า ทำให้เวลาใช้ไปนานๆ case ประเภทนี้จะไม่มีการเสียรูปทรง หรือเสียน้อยมาก
ข้อดีของ case ประเภทนี้คือไม่เสียรูปในการใช้งานระยะยาวรับแรงกระแทกได้ดี แม้จะไม่เท่า Siliconeไม่ดักจับฝุ่น เพราะพื้นผิวไม่ grippy เหมือนกับ Siliconeติดตั้งง่าย
ข้อเสียของ case ประเภทนี้คือเนื่องจากความหนืดและติดมือน้อยกว่า Silicone ทำให้หลุดมือได้ง่ายกว่ามากรับแรงกระแทกได้ไม่ดี เพราะความยืดหยุ่นน้อยกว่า ทำให้เมื่อทำตกแล้วมักมีปัญหามากกว่า Silicone
สำหรับ Hard Case นั้นแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ
แบ่งตามวัสดุ แบ่งออกเป็นออกเป็น 2 ประเภท ย่อยๆได้แก่ 1. Plastic และ 2. Aluminiumแบ่งออกตามประเภทการใส่ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทย่อยๆ ได้แก่ 1. Snap On และ 2. Slide In สำหรับการแบ่งตามวัสดุนั้น case ประเภท hard case ส่วนใหญ่ในราคา ระดับ 2 หรือ ระดับปานกลางนั้น จะเป็น Plastic ทั้งหมด หรือไม่ก็เป็น Aluminium เกรดต่ำ
ส่วน case ประเภท Aluminium เกรดดีๆนั้น มักจะมีราคาสูง case ประเภทนี้ ที่เห็นได้ชัดคือ Elementcase, Xcelcase เป็นต้น
ซึ่ง case ประเภท Hard Case นั้นข้อดีและข้อเสียจะมีต่างกันไม่มาก
ข้อดี
ต่างกันเพียงความทนทานเท่านั้น เพราะ Plastic ย่อมแตกหักง่ายกว่า Aluminium
ข้อเสีย
Aluminium แท้ๆนั้น คือทำให้โทรศัพท์มือถือนั้นมีปัญหาด้านการรับสัญญาณ และทำให้จับ GPS ไม่ได้ หรือทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร ทำให้ถ้าจะซื้อ case ประเภทนี้ควรเลือก case plastic จะดีกว่า ยกเว้น aluminium case อันนั้นจะแก้ไขปัญหานี้แล้ว อ่านรายละเอียดได้จากทางเว็บไซค์ผู้ผลิต เช่น Xcelcase จะใช้ plastic แทนในส่วนของการรับสัญญาณ ทำให้ไม่มีปัญหา การติดตั้งมักยุ่งยาก และมีน้ำหนักมาก